Content Marketing คือกลยุทธ์การทำการตลาดผ่านเนื้อหาที่เราสร้างสรรค์ขึ้น โดยเนื้อหาเหล่านั้นให้ออกมาดูน่าดึงดูดเรียกความสนใจจากผู้อ่าน ทำให้เขาเกิดความประทับใจ ติดตามเราเรื่อย ๆ และในท้ายที่สุดกลายมาเป็นลูกค้าของเรา
การสร้างเนื้อหาจำเป็นต้องอาศัยความว่องไว ความคิดที่สร้างสรรค์ และเครื่องมือที่พร้อมจะซัพพอร์ตการทำงานทุก ๆ ด้าน Martech tools หลายชิ้นถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองทั้ง 3 ข้อกล่าวมา ในปัจจุบันเรามีเครื่องมือ Martech ให้เลือกใช้งานเยอะมาก ดังนั้นในบทความนี้ 1Moby จะขอลองหยิบยกเครื่องที่เป็นประโยชน์ในการจัดการเนื้อหา รับรองว่าทุกเครื่องมือ Martech ที่เรายกมานั้นจะต้องโดนใจสาย Content Marketing แน่นอนค่ะ
เครื่องมือ Martech สำหรับการสร้างและคัดสรรเนื้อหา
1. ระบบจัดการเนื้อหา (CMS)
WordPress: เป็น CMS ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ ก็ต้องยกให้ WordPress เพราะมีปลั๊กอินและธีมมากมายเพื่อปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา ทั้งใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ครบครัน เป็นที่ถูกใจคนทำงานสาย content และ SEO อย่างมากเลยค่ะ

ภาพจาก : https://wordpress.org/
Drupal: มีความยืดหยุ่นและสามารถขยายได้ เหมาะสำหรับกลยุทธ์เนื้อหาที่ซับซ้อนมากขึ้น มักจะถูกเป็นตัวเลือกนำไปเปรียบเทียบกับ Wordpress อยู่เสมอ
Contentful: เป็น Headless CMS ที่สามารถรวมเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ ได้ง่าย และมี API สำหรับการส่งมอบเนื้อหา
2. เครื่องมือออกแบบกราฟิก
Canva: เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายสำหรับการสร้างกราฟิกที่น่าสนใจ อินโฟกราฟิก และโพสต์สื่อสังคมออนไลน์

ภาพจาก : https://www.canva.com/
Adobe Creative Cloud: เป็นชุดเครื่องมือออกแบบระดับมืออาชีพ รวมถึง Photoshop, Illustrator และ InDesign สำหรับการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง
3. เครื่องมือสร้างวิดีโอ

ภาพจาก : https://www.adobe.com/
Adobe Premiere Pro: เป็นเครื่องมือแก้ไขวิดีโอระดับมืออาชีพที่มีคุณสมบัติขั้นสูงสำหรับการสร้างเนื้อหาวิดีโอที่น่าสนใจ
Final Cut Pro: เป็นซอฟต์แวร์แก้ไขวิดีโอที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ใช้ Mac ที่ได้รับความนิยมจากบรรณาธิการวิดีโอมืออาชีพ
Animoto: เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายสำหรับการสร้างวิดีโอคุณภาพระดับมืออาชีพด้วยการลากและวาง
4. เครื่องมือคัดสรรเนื้อหา
Feedly: เป็นตัวรวบรวมฟีด RSS ที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถติดตามข่าวสารและแนวโน้มในอุตสาหกรรมได้

ภาพจาก : https://feedly.com/
Pocket: เป็นเครื่องมือสำหรับบันทึกและจัดระเบียบบทความ วิดีโอ และเนื้อหาอื่นๆ สำหรับการอ้างอิงและการแชร์ในอนาคต
Curata: เป็นซอฟต์แวร์คัดสรรเนื้อหาที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่องเพื่อช่วยให้นักการตลาดค้นพบ จัดระเบียบ และแชร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
แพลตฟอร์มและกลยุทธ์การกระจายเนื้อหา
การเลือกช่องทางการกระจายเนื้อหาก็สำคัญเช่นเดียวกัน ลองดูธุรกิจหรือแบรนด์ที่คุณทำอยู่นั้นเหมาะกับช่องทางกระจายเนื้อหาเพื่อสื่อสารกับลูกค้าอะไรบ้าง
1. แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์
Facebook: ใช้หน้าและกลุ่ม Facebook เพื่อแชร์เนื้อหาและมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวาง
Twitter: แชร์เนื้อหาสั้นๆ ที่มีผลกระทบและมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามผ่านทวีตและการรีทวีต
LinkedIn: เผยแพร่เนื้อหามืออาชีพ บทความ และมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายที่มุ่งเน้นธุรกิจผ่านหน้าและกลุ่ม LinkedIn
Tiktok : แพลตฟอร์มยอดนิยมที่ทุกแบรนด์ในไทยก้าวเข้ามา และมีหลายแบรนด์ที่ใช้ช่องทางนี้ในการกระจายข้อมูลหลัก เพราะการสร้างเนื้อหาเป็นแบบวิดีโอเน้นไวรัล สามารถวางตะกร้าขายของซื้อ-ขายได้ง่าย และสามารถยิง Ads ได้ นับว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับทุกธุรกิจค่ะ
2. การตลาดผ่านอีเมล
Mailchimp: เป็นแพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลที่ได้รับความนิยมซึ่งมีคุณสมบัติการทำงานอัตโนมัติ การแบ่งกลุ่ม และการวิเคราะห์
Thaibulksms : เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างแคมเปญอีเมลแบบมืออาชีพด้วยเทมเพลตที่ปรับแต่งได้และการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง สามารถลองส่งได้ที่ https://www.thaibulksms.com/
3. แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์
Buddyreview: เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงแบรนด์กับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อขยายขอบเขตการเข้าถึงเนื้อหา ค้นอินฟลูที่ใช่กับแบรนด์ของเราเพื่อรีวิวสินค้า
Tellscore: Influencer Hiring Automation Platform มีบริการ 2 รูปแบบคือแบบเอเจนซี่ ด้านอินฟลูเอนเซอร์ ครบวงจร พร้อมบริการ Media buy, และ 2 แพลตฟอร์ม Influencer ให้คุณได้ตั้งแคมเปญเองแบบ Self Service
4. การโฆษณาแบบชำระเงิน
Google Ads: เป็นแพลตฟอร์มสำหรับโปรโมทเนื้อหาผ่านการค้นหาและโฆษณาแสดงผล
Facebook Ads: กำหนดเป้าหมายกลุ่มเป้าหมายเฉพาะด้วยเนื้อหาสปอนเซอร์บน Facebook และ Instagram
การวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ของการตลาดเนื้อหา
Content Marketing ย่อมต้องการวัดผลผลงานของตนเองอยู่เสมอ เพื่อการพัฒนาชิ้นงานในครั้งต่อ ๆ ไป มองหาจุดอ่อนเพื่อแก้ไข มองหาจุดแข็งเพื่อเสริมให้แกร่งกว่าเดิม ทั้งหมดก็เพื่อบรรลุตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ตั้งแต่แรก และเราควรใช้อะไรบ้างในการวัดผลเหล่านั้น
1. ดัชนีชี้วัดควาสำเร็จ (KPIs)
Traffic: ตรวจสอบการเข้าชมเว็บไซต์โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics เพื่อวัดการเข้าถึงของเนื้อหา
Engagement: วัดการกดไลค์ การแชร์ ความคิดเห็น และเวลาที่ใช้กับเนื้อหาเพื่อประเมินการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย
Lead Generation: ติดตามจำนวนลูกค้าที่มีศักยภาพที่เกิดจากความพยายามทางการตลาดเนื้อหาโดยใช้ระบบ CRM
Conversion Rate: วิเคราะห์เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่ดำเนินการตามที่ต้องการ (เช่น การซื้อ การสมัครรับจดหมายข่าว) หลังจากมีส่วนร่วมกับเนื้อหา
2. เครื่องมือวิเคราะห์
Google Analytics: ให้ข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการเข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมผู้ใช้ และการติดตามการแปลง
HubSpot: เป็นแพลตฟอร์มการตลาดแบบครบวงจรที่มีคุณสมบัติการวิเคราะห์และการรายงานรายละเอียด
BuzzSumo: เป็นเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ประสิทธิภาพเนื้อหาและการระบุเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพสูงในอุตสาหกรรมของคุณ
3. การคำนวณ ROI
Revenue Generated: ติดตามรายได้โดยตรงที่เกิดจากความพยายามทางการตลาดเนื้อหา
Cost of Content Creation and Distribution: รวมต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการแจกจ่ายเนื้อหา
ROI Formula: (Revenue Generated - Cost of Content) / Cost of Content * 100 = เปอร์เซ็นต์ ROI
Content marketing ควรที่จะมีเครื่องมือที่เหมาะสมในการช่วยเหลือด้านการทำงานให้ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคิด สร้าง และกระจายเนื้อหา อีกทั้งควรวัดผลความสำเร็จที่ตั้งไว้ ด้วยเกณฑ์การวัดผลที่ดีและเหมาะสม เพราะ Content marketing มีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและขับเคลื่อนการกระทำของลูกค้าที่สร้างผลกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญค่ะ