Marketing Technology

แนะนำเครื่องมือ Martech ถูกใจสาย Content Marketing

28 มิถุนายน 20243 min read

Content Marketing คือกลยุทธ์การทำการตลาดผ่านเนื้อหาที่เราสร้างสรรค์ขึ้น โดยเนื้อหาเหล่านั้นให้ออกมาดูน่าดึงดูดเรียกความสนใจจากผู้อ่าน ทำให้เขาเกิดความประทับใจ ติดตามเราเรื่อย ๆ และในท้ายที่สุดกลายมาเป็นลูกค้าของเรา

 

 

การสร้างเนื้อหาจำเป็นต้องอาศัยความว่องไว ความคิดที่สร้างสรรค์ และเครื่องมือที่พร้อมจะซัพพอร์ตการทำงานทุก ๆ ด้าน Martech tools หลายชิ้นถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองทั้ง 3 ข้อกล่าวมา ในปัจจุบันเรามีเครื่องมือ Martech ให้เลือกใช้งานเยอะมาก ดังนั้นในบทความนี้ 1Moby จะขอลองหยิบยกเครื่องที่เป็นประโยชน์ในการจัดการเนื้อหา รับรองว่าทุกเครื่องมือ Martech ที่เรายกมานั้นจะต้องโดนใจสาย Content Marketing แน่นอนค่ะ

 

 

เครื่องมือ Martech สำหรับการสร้างและคัดสรรเนื้อหา

1. ระบบจัดการเนื้อหา (CMS)

WordPress: เป็น CMS ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ ก็ต้องยกให้ WordPress เพราะมีปลั๊กอินและธีมมากมายเพื่อปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา ทั้งใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ครบครัน เป็นที่ถูกใจคนทำงานสาย content และ SEO อย่างมากเลยค่ะ

screenshot-1.png

ภาพจาก : https://wordpress.org/

 

Drupal:  มีความยืดหยุ่นและสามารถขยายได้ เหมาะสำหรับกลยุทธ์เนื้อหาที่ซับซ้อนมากขึ้น มักจะถูกเป็นตัวเลือกนำไปเปรียบเทียบกับ Wordpress อยู่เสมอ  

Contentful:  เป็น Headless CMS ที่สามารถรวมเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ ได้ง่าย และมี API สำหรับการส่งมอบเนื้อหา

 

2. เครื่องมือออกแบบกราฟิก

Canva: เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายสำหรับการสร้างกราฟิกที่น่าสนใจ อินโฟกราฟิก และโพสต์สื่อสังคมออนไลน์

docs_promo-showcase_012x.jpeg

ภาพจาก : https://www.canva.com/ 

 

Adobe Creative Cloud: เป็นชุดเครื่องมือออกแบบระดับมืออาชีพ รวมถึง Photoshop, Illustrator และ InDesign สำหรับการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง

 

3. เครื่องมือสร้างวิดีโอ

media_106f9efebea6b9710fb16b53798f2a36f78ad7eed.jpeg

ภาพจาก : https://www.adobe.com/

 

Adobe Premiere Pro: เป็นเครื่องมือแก้ไขวิดีโอระดับมืออาชีพที่มีคุณสมบัติขั้นสูงสำหรับการสร้างเนื้อหาวิดีโอที่น่าสนใจ

Final Cut Pro: เป็นซอฟต์แวร์แก้ไขวิดีโอที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ใช้ Mac ที่ได้รับความนิยมจากบรรณาธิการวิดีโอมืออาชีพ

Animoto: เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายสำหรับการสร้างวิดีโอคุณภาพระดับมืออาชีพด้วยการลากและวาง

 

4. เครื่องมือคัดสรรเนื้อหา

Feedly: เป็นตัวรวบรวมฟีด RSS ที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถติดตามข่าวสารและแนวโน้มในอุตสาหกรรมได้

341b4ffa5c276dd3f3468b2b2f5d3d32c3857e5c-2938x1690.jpeg

ภาพจาก : https://feedly.com/ 

 

Pocket: เป็นเครื่องมือสำหรับบันทึกและจัดระเบียบบทความ วิดีโอ และเนื้อหาอื่นๆ สำหรับการอ้างอิงและการแชร์ในอนาคต

Curata: เป็นซอฟต์แวร์คัดสรรเนื้อหาที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่องเพื่อช่วยให้นักการตลาดค้นพบ จัดระเบียบ และแชร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

 

แพลตฟอร์มและกลยุทธ์การกระจายเนื้อหา  

การเลือกช่องทางการกระจายเนื้อหาก็สำคัญเช่นเดียวกัน ลองดูธุรกิจหรือแบรนด์ที่คุณทำอยู่นั้นเหมาะกับช่องทางกระจายเนื้อหาเพื่อสื่อสารกับลูกค้าอะไรบ้าง

1. แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์

Facebook: ใช้หน้าและกลุ่ม Facebook เพื่อแชร์เนื้อหาและมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวาง

Twitter: แชร์เนื้อหาสั้นๆ ที่มีผลกระทบและมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามผ่านทวีตและการรีทวีต

LinkedIn: เผยแพร่เนื้อหามืออาชีพ บทความ และมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายที่มุ่งเน้นธุรกิจผ่านหน้าและกลุ่ม LinkedIn

Tiktok : แพลตฟอร์มยอดนิยมที่ทุกแบรนด์ในไทยก้าวเข้ามา และมีหลายแบรนด์ที่ใช้ช่องทางนี้ในการกระจายข้อมูลหลัก เพราะการสร้างเนื้อหาเป็นแบบวิดีโอเน้นไวรัล สามารถวางตะกร้าขายของซื้อ-ขายได้ง่าย และสามารถยิง Ads ได้ นับว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับทุกธุรกิจค่ะ

2. การตลาดผ่านอีเมล

Mailchimp: เป็นแพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลที่ได้รับความนิยมซึ่งมีคุณสมบัติการทำงานอัตโนมัติ การแบ่งกลุ่ม และการวิเคราะห์ 

Thaibulksms : เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างแคมเปญอีเมลแบบมืออาชีพด้วยเทมเพลตที่ปรับแต่งได้และการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง สามารถลองส่งได้ที่ https://www.thaibulksms.com/ 

3. แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์

Buddyreview: เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงแบรนด์กับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อขยายขอบเขตการเข้าถึงเนื้อหา ค้นอินฟลูที่ใช่กับแบรนด์ของเราเพื่อรีวิวสินค้า 

Tellscore: Influencer Hiring Automation Platform  มีบริการ 2 รูปแบบคือแบบเอเจนซี่ ด้านอินฟลูเอนเซอร์ ครบวงจร พร้อมบริการ Media buy, และ 2 แพลตฟอร์ม Influencer ให้คุณได้ตั้งแคมเปญเองแบบ Self Service

4. การโฆษณาแบบชำระเงิน

Google Ads: เป็นแพลตฟอร์มสำหรับโปรโมทเนื้อหาผ่านการค้นหาและโฆษณาแสดงผล

Facebook Ads: กำหนดเป้าหมายกลุ่มเป้าหมายเฉพาะด้วยเนื้อหาสปอนเซอร์บน Facebook และ Instagram 

 

การวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ของการตลาดเนื้อหา

Content Marketing ย่อมต้องการวัดผลผลงานของตนเองอยู่เสมอ เพื่อการพัฒนาชิ้นงานในครั้งต่อ ๆ ไป มองหาจุดอ่อนเพื่อแก้ไข มองหาจุดแข็งเพื่อเสริมให้แกร่งกว่าเดิม ทั้งหมดก็เพื่อบรรลุตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ตั้งแต่แรก และเราควรใช้อะไรบ้างในการวัดผลเหล่านั้น

 

1. ดัชนีชี้วัดควาสำเร็จ (KPIs)

Traffic: ตรวจสอบการเข้าชมเว็บไซต์โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics เพื่อวัดการเข้าถึงของเนื้อหา 

Engagement: วัดการกดไลค์ การแชร์ ความคิดเห็น และเวลาที่ใช้กับเนื้อหาเพื่อประเมินการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย

Lead Generation: ติดตามจำนวนลูกค้าที่มีศักยภาพที่เกิดจากความพยายามทางการตลาดเนื้อหาโดยใช้ระบบ CRM

Conversion Rate: วิเคราะห์เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่ดำเนินการตามที่ต้องการ (เช่น การซื้อ การสมัครรับจดหมายข่าว) หลังจากมีส่วนร่วมกับเนื้อหา

 

2. เครื่องมือวิเคราะห์

Google Analytics: ให้ข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการเข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมผู้ใช้ และการติดตามการแปลง

HubSpot: เป็นแพลตฟอร์มการตลาดแบบครบวงจรที่มีคุณสมบัติการวิเคราะห์และการรายงานรายละเอียด

BuzzSumo: เป็นเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ประสิทธิภาพเนื้อหาและการระบุเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพสูงในอุตสาหกรรมของคุณ

 

3. การคำนวณ ROI

Revenue Generated: ติดตามรายได้โดยตรงที่เกิดจากความพยายามทางการตลาดเนื้อหา

Cost of Content Creation and Distribution: รวมต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการแจกจ่ายเนื้อหา

ROI Formula: (Revenue Generated - Cost of Content) / Cost of Content * 100 = เปอร์เซ็นต์ ROI

 

 

Content marketing ควรที่จะมีเครื่องมือที่เหมาะสมในการช่วยเหลือด้านการทำงานให้ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคิด สร้าง และกระจายเนื้อหา อีกทั้งควรวัดผลความสำเร็จที่ตั้งไว้ ด้วยเกณฑ์การวัดผลที่ดีและเหมาะสม เพราะ Content marketing มีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและขับเคลื่อนการกระทำของลูกค้าที่สร้างผลกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญค่ะ 

ที่มา :

-

Tag :ContentMartech

แชร์บทความนี้

บทความแนะนำ

บทความที่เกี่ยวข้อง